ภาพรวมตลาด
แม้เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะยังเดินหน้าได้อย่างแข็งแกร่งตามถ้อยแถลงล่าสุดของ Jerome Powell ประธาน Fed แต่รายงานการจ้างงานนอกภาคเกษตร (Nonfarm Payrolls) ประจำเดือนมิถุนายน ซึ่งจะประกาศเร็วขึ้นหนึ่งวันเนื่องจากตรงกับวันชาติสหรัฐฯ (4 ก.ค.) กำลังถูกจับตาอย่างใกล้ชิดในฐานะตัวแปรสำคัญที่จะชี้ทิศทางการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งถัดไปในช่วงครึ่งปีหลัง
ภายใต้บรรยากาศที่ยังเต็มไปด้วยแรงกดดันจากสงครามการค้า การเข้มงวดด้านนโยบายตรวจคนเข้าเมือง และเทคโนโลยี AI ที่อาจแย่งงานมนุษย์ ตลาดแรงงานสหรัฐฯ ก็ยังแสดงให้เห็นถึง “รอยร้าว” เป็นระยะ ตัวเลขการจ้างงานเฉลี่ยสามเดือนล่าสุดอยู่ที่เพียง 135,000 ตำแหน่ง ซึ่งถือว่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของปีก่อนอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่อัตราการว่างงานแม้จะขยับขึ้นมาแตะ 4.2% ในเดือนพฤษภาคม แต่ก็ยังจัดว่าต่ำกว่ามาตรฐานในรอบหลายทศวรรษ
ข้อมูลเชิงลึกยังสะท้อนภาพสองด้าน — แม้ยอดการจ้างงานเดือนพฤษภาคมจะออกมาดีกว่าที่ตลาดคาดเล็กน้อยที่ราว 139,000 ตำแหน่ง แต่กลับพบว่างานในบางภาคส่วนอย่างภาครัฐเริ่มหดตัวลงจากมาตรการรัดเข็มขัดและการลดขนาดรัฐบาลกลาง ด้านภาคเอกชนเองก็เริ่มใช้ความระมัดระวังมากขึ้นในการเพิ่มตำแหน่งงานใหม่ เพราะนโยบายภาษีนำเข้าที่เกิดจากท่าทีแข็งกร้าวของ Trump ยังคงกดดันความเชื่อมั่นทางธุรกิจและการลงทุนอย่างต่อเนื่อง
ประเด็นค่าจ้างแรงงานยังเป็นอีกหนึ่งตัวแปรที่ Fed จับตาอย่างใกล้ชิด โดยในเดือนพฤษภาคม ค่าจ้างเฉลี่ยต่อชั่วโมงยังขยายตัว 3.9% แม้จะเย็นตัวลงเมื่อเทียบกับระดับสูงสุดในปี 2022 ที่เคยพุ่งแตะเกือบ 6% แต่สิ่งที่ยังเป็นความเสี่ยง คือการกีดกันแรงงานต่างชาติอาจทำให้อุปทานแรงงานตึงตัวขึ้นได้ในอนาคต และอาจกดดันให้นายจ้างต้องยอมจ่ายค่าจ้างสูงขึ้นเพื่อหาคนทำงานที่เหมาะสม แม้ระยะสั้น Wall Street จะยังไม่เห็นสัญญาณแรงกดดันค่าจ้างใหม่ที่รุนแรงนัก แต่ความกังวลนี้ก็ยังไม่ถูกตัดออกไปทั้งหมด
แม้ Powell จะยังคงย้ำแนวทาง “รอดูข้อมูล” และไม่เร่งรีบในการปรับลดดอกเบี้ย แต่ตลาดการเงินยังคงเดิมพันว่า ถ้าตัวเลข Nonfarm Payrolls เดือนนี้ออกมาต่ำผิดปกติ หรือหากอัตราการว่างงานพุ่งทะลุ 4.3% ตามที่บางสำนักคาดไว้ ก็อาจบีบให้ Fed ต้องพิจารณาปรับท่าทีในการประชุมเดือนกรกฎาคมหรือกันยายนเพื่อป้องกันแรงกระแทกต่อเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในช่วงที่แรงกดดันเงินเฟ้อยังซ่อนอยู่ภายใต้ต้นทุนภาษีนำเข้าที่คาดว่าจะเริ่มส่งผ่านต้นทุนจริงไปยังผู้บริโภคอย่างเต็มที่ในครึ่งปีหลัง
EURUSD
ราคายังคงเคลื่อนไหวเหนือกรอบแนวรับสีแดงได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งกรอบนี้เดิมเคยทำหน้าที่เป็นแนวต้านสำคัญมาก่อนจะถูกทะลุขึ้นมา และพลิกบทบาทกลับมาเป็นฐานรับที่ช่วยพยุงราคาไว้ได้อย่างแข็งแกร่ง จุดนี้ยิ่งสะท้อนให้เห็นถึงแรงซื้อที่ยังมีน้ำหนักและช่วยหนุนโมเมนตัมฝั่งขาขึ้นให้ดำเนินต่อได้แบบไม่สะดุด นอกจากนี้การเคลื่อนไหวยังคงอยู่ภายในกรอบเทรนไลน์ขาขึ้นได้อย่างชัดเจน โดยราคาสามารถประคองตัวยืนเหนือเส้นแนวโน้มหลักต่อเนื่อง ทำให้ภาพรวมยังมีโอกาสขยับขึ้นไปทดสอบแนวต้านถัดไปบริเวณ 1.19870 และ 1.21324 ตามลำดับ
EURUSD (H4)

XAUUSD
ด้านราคายังคงเคลื่อนไหวต่ำกว่ากรอบแนวต้านสีแดงซึ่งถือว่าเป็นบริเวณสำคัญที่ตลาดจับตามอง โดยแม้ว่าราคาจะพยายามดีดตัวขึ้นมาแล้วหลายครั้ง แต่ก็ยังไม่สามารถผ่านขึ้นไปยืนเหนือแนวต้านได้อย่างเด็ดขาด ภาพนี้สะท้อนให้เห็นว่าแรงขายในโซนดังกล่าวยังมีอยู่ต่อเนื่องและยังกดดันราคาเอาไว้ เมื่อประกอบกับทิศทางราคาที่ยังคงแกว่งตัวอยู่ภายในกรอบเทรนไลน์ขาลง ทำให้โมเมนตัมโดยรวมยังเอนไปทางฝั่งขาลงมากกว่า ดังนั้น โอกาสที่ราคาจะอ่อนตัวลงต่อยังเปิดกว้าง โดยมีแนวรับสำคัญถัดไปอยู่ที่บริเวณ 3,223.8 ดอลลาร์ และ 3,168.3 ดอลลาร์ตามลำดับXAUUSD (H4)

BTCUSD
ราคายังคงประคองตัวเหนือกรอบแนวรับสีแดงได้อย่างมั่นคง และยังรักษาการเคลื่อนที่ภายในกรอบเทรนไลน์ขาขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งภาพนี้ชี้ให้เห็นว่าแรงซื้อยังมีน้ำหนักมากพอจะค้ำโมเมนตัมขาขึ้นเอาไว้ แม้ในบางจังหวะจะมีการย่อตัวลงมาใกล้โซนแนวรับ แต่ราคาก็สามารถดีดกลับขึ้นได้อย่างรวดเร็ว แสดงให้เห็นว่าฝั่งซื้อยังคงปกป้องระดับสำคัญนี้อยู่ ตราบใดที่ราคายังไม่หลุดกรอบแนวรับ โอกาสในการปรับตัวขึ้นต่อยังเปิดกว้าง โดยมีเป้าหมายแนวต้านสำคัญถัดไปที่ 112,253.74 ดอลลาร์ และ 115,335.35 ดอลลาร์ ตามลำดับBTCUSD (H4)

US100
จะเห็นได้ว่าโมเมนตัมฝั่งขาขึ้นยังคงแข็งแกร่งต่อเนื่อง เนื่องจากราคายังสามารถทรงตัวเหนือกรอบแนวรับสีแดงได้อย่างมั่นคง แม้จะมีการแกว่งตัวกลับลงมาใกล้บริเวณนี้หลายครั้ง แต่แรงซื้อก็ยังคงช่วยรักษาโครงสร้างแนวโน้มให้เป็นบวกอยู่ นอกจากนี้การเคลื่อนไหวยังคงอยู่ในกรอบเทรนไลน์ขาขึ้นอย่างชัดเจน สะท้อนว่าแรงส่งของฝั่งซื้อยังไม่ถูกลบล้างไปได้ง่าย ๆ ภาพรวมจึงยังมีโอกาสเห็นการไต่ระดับขึ้นต่อเพื่อทดสอบแนวต้านสำคัญถัดไปที่บริเวณ 44,568.33 จุด และ 45,175.45 จุดตามลำดับUS100 (H4)
