เปิดบัญชี
เปิดบัญชีล็อกอิน
เปิดบัญชี

บทที่ 6 ซื้อหรือขายดี?

10 นาทีในการอ่าน

ในบทเรียนนี้
สิ่งที่ขับเคลื่อนตลาดคืออะไร?เหตุการณ์ทางการเมืองและภูมิศาสตร์การเมืองเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจเหตุการณ์ทางสังคม: การจลาจลและความไม่สงบทางสังคมเหตุการณ์ภัยธรรมชาติปฏิทินเศรษฐกิจการจำแนกเหตุการณ์ต่าง ๆ ในปฏิทินวิธีวิเคราะห์กราฟแนวโน้มเส้นแนวโน้มประเภทของกราฟตัวบ่งชี้ทางเทคนิคการตัดสินใจเข้าซื้อขายทำให้ถูกวิธีสรุปบทเรียนคำพูดส่งท้าย

ถึงเวลาดูวิธีวิเคราะห์ตลาดเพื่อให้คุณสามารถตัดสินใจซื้อขาย เลือกระหว่างคำสั่ง BUY และ SELL สำหรับแต่ละตราสาร

สิ่งที่ขับเคลื่อนตลาดคืออะไร?

โดยทั่วไปแล้ว สภาพแวดล้อมที่มองในแง่ดีจะสนับสนุนการเคลื่อนไหวแบบกล้าที่จะเสี่ยงในตลาด (ทุกคนจะเข้าซื้อหุ้นและสินค้าโภคภัณฑ์) ในขณะที่ สภาพแวดล้อมที่มองในแง่ร้ายจะทำให้นักลงทุนไม่ชอบความเสี่ยง ดังนั้นพวกเขาจะมองหาการซื้อขายที่ปลอดภัยกว่าเพื่อรักษาเงินทุนของพวกเขาไว้ (โดยจะเข้าซื้อสินทรัพย์ เช่น ทองคำและฟรังก์สวิส) แต่ก็ยังมีปัจจัยอื่น ๆ อีกหลายประการ

"ผมอยากรู้ว่าเมื่อไหร่ที่ผมควรเปิด Buy และเมื่อไหร่ที่ผมควรเปิด Sell!"

ด้านล่างนี้คุณจะพบรายการสั้น ๆ เกี่ยวกับสิ่งที่สามารถขับเคลื่อนตลาดพร้อมผลกระทบต่อสกุลเงิน

เหตุการณ์ทางการเมืองและภูมิศาสตร์การเมือง

1. การเปลี่ยนผู้นำประเทศและเจ้าหน้าที่ระดับสูง (การเลือกตั้งประธานาธิบดี การเลือกตั้งรัฐสภา คณะกรรมการและประธานธนาคารกลาง) ผลกระทบ: ความผันผวนของค่าเงินและตลาดหุ้นที่เพิ่มขึ้น

ตัวอย่างเช่น Nikkei 225 ของญี่ปุ่นได้พุ่งขึ้นเมื่อปลายเดือนสิงหาคม 2021 จากข่าวที่ว่านายกรัฐมนตรีสุกะกำลังวางแผนที่จะก้าวลงจากตำแหน่ง ซึ่งตลาดมองเป็นสัญญาณของการปฏิรูปที่กำลังจะเกิดขึ้น

1.png

2. การเปลี่ยนแปลงการวางตำแหน่งระหว่างประเทศของประเทศ (การปรับแนวภูมิรัฐศาสตร์ของประเทศในสภาพแวดล้อมระหว่างประเทศ การเปลี่ยนแปลงลำดับความสำคัญของโลก) ผลกระทบ: เพิ่มความเสี่ยงจากแรงกดดันและความผันผวนของตลาดสกุลเงินและตลาดหุ้น

ตัวอย่างเช่น เราสามารถพูดถึงนโยบายของสหรัฐอเมริกาที่เกี่ยวข้องกับจีน หลังจากที่โดนัลด์ ทรัมป์ ได้เป็นประธานาธิบดี เขาก็ได้วิจารณ์ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ซึ่งได้นำไปสู่การเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อเทียบกับหยวนจีน (USDCHN)

3. เหตุการณ์อื่น ๆ ที่เกิดขึ้นทั่วทั้งรัฐหรือทั่วทั้งภูมิภาคที่มีความสำคัญสูง ผลกระทบ: ความผันผวนและความเสี่ยงด้านลบของสกุลเงินและตลาดหุ้นที่เพิ่มสูงขึ้น

ตัวอย่าง แผนภูมิด้านล่างแสดงการเทขายเงินปอนด์อังกฤษหลังผลการลงประชามติเรื่อง Brexit ออกมาว่าอังกฤษลงมติให้ออกจากสหภาพยุโรป

2.png

ตรรกะง่ายๆ อะไรก็ตามที่ส่งเสริมการค้าและเศรษฐกิจของประเทศนั้นย่อมดีต่อค่าเงิน ในขณะที่ความตึงเครียดและการทะเลาะวิวาทกับประเทศอื่น ๆ มักจะส่งผลกระทบในทางลบ ในทางกลับกัน ตลาดหุ้นชอบข่าวเกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลดภาษี และกลัวการเพิ่มภาษี สุดท้าย การกระทำบางอย่างของผู้กำหนดนโยบายจะมีอิทธิพลต่อภาคส่วนต่าง ๆ ของเศรษฐกิจ ตัวอย่างเช่น ความมุ่งมั่นของโจ ไบเดน เกี่ยวกับพลังงานสีเขียวได้สนับสนุนหุ้นของผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า เช่น Tesla และ Ford

เหตุการณ์ทางเศรษฐกิจ

1. การเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลาง

ผลกระทบ: อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นจะช่วยทำให้สกุลเงินแข็งค่าขึ้น ขณะที่การปรับลดอัตราดอกเบี้ยจะทำให้สกุลเงินประจำชาติอ่อนค่าลง

ตัวอย่าง ในวันที่ 14 ธันวาคม 2016 สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น 3,300 จุด เมื่อเทียบกับเงินเยนญี่ปุ่น หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย

3.png

2.การเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินของธนาคารกลาง

ผลกระทบ: แถลงการณ์ที่ดุดันจะหนุนสกุลเงินประจำชาติ ขณะที่แถลงการณ์ที่ผ่อนปรนมักจะทำให้เกิดแรงกดดัน

คุณจะได้เจอกับคำว่า “Dovish” (ผ่อนปรน) และ “Hawkish” (ดุดัน) ในข่าวและบทความเรื่องเศรษฐกิจ ทั้งสองคำนี้จะหมายถึงนโยบายของธนาคารกลาง โดย Hawkish หรือความดุดันนั้นจะหมายถึงธนาคารกลางมีความกังวลเรื่องระดับเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นและกำลังเล็งที่จะกระชับนโยบายและปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยในเศรษฐกิจ นโยบายที่ดุดันมีแนวโน้มที่ทำให้สกุลเงินแข็งค่าขึ้น ส่วน Dovish หรือความผ่อนปรนนั้นจะตรงกันข้าม มันหมายความว่าธนาคารกลางจะพยามสนับสนุนเศรษฐกิจด้วยการตั้งอัตราดอกเบี้ยให้ต่ำ ๆ ซึ่งนโยบายที่ผ่อนปรนนั้นจะส่งผลลบต่อสกุลเงิน

มันมักจะเกิดขึ้นก่อนเปลี่ยนแปลงนโยบาย (การปรับขึ้นหรือลดอัตราดอกเบี้ย หรือทำอย่างอื่น) ธนาคารกลางจะส่งสัญญาณไปยังตลาด กล่าวคือ พูดว่ามีแผนอะไร ราคาของตราสารการเงินต่าง ๆ จะตอบสนองต่อ “การประกาศเจตจำนง” เหล่านี้

ตัวอย่างข้างต้นแสดงถึงการเปลี่ยนแปลงนี้เช่นกัน

"นโยบายการเงินและอัตราดอกเบี้ยเนี่ยฟังดูซับซ้อนจังเลยนะ…"

ลองคิดว่ามันเป็นเหมือนกรณีของผู้ป่วยกับหมอดูสิ ถ้าคุณป่วย คุณไปหาหมอเพราะหมอเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ ดังนั้น ถ้าหมอบอกว่า “คุณสบายดี” คุณก็จะมีความสุขและกระโดดโลดเต้นได้อีกครั้ง แต่ถ้าหมอบอกว่า “เสียใจด้วยครับ คุณคงอยู่ได้อีกไม่นาน” คุณก็จะมองโลกในแง่ร้ายและไม่เต็มใจที่จะทำอะไรที่เสี่ยง ๆ อีก ในเรื่องการเงินก็เหมือนกัน ธนาคารกลางเป็นเหมือนหมอประจำสุขภาพของเศรษฐกิจ หากพวกเขาบอกว่ามันดูดีไม่มีปัญหา มันก็เหมือนกับตัวกระตุ้นความอยากเสี่ยงและตัวกระตุ้นสกุลเงิน แต่ถ้าหากพวกเขาพูดว่าหลายสิ่งไม่ดี สกุลเงินของพวกเขาจะร่วงลง และอารมณ์ของเทรดเดอร์ก็เช่นกัน

3. การเปลี่ยนแปลงด้านสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจภายในประเทศ

(GDP/การว่างงาน/อัตราเงินเฟ้อ/กิจกรรมทางธุรกิจ/ระดับการผลิต/อื่น ๆ) ผลกระทบ: เศรษฐกิจภายในประเทศที่แข็งแกร่งขึ้นสนับสนุนสกุลเงินประจำชาติและนำอารมณ์อยากเสี่ยงมาสู่ตลาดหุ้น ในขณะที่สภาพแวดล้อมอันอ่อนแอภายในประเทศจะทำให้อารมณ์อยากเทขายเข้าสู่สกุลเงินและตลาดหุ้น

พูดง่าย ๆ ว่ายิ่งเศรษฐกิจดีขึ้นเท่าไร มันก็ยิ่งส่งผลดีต่อสกุลเงิน และในทำนองกลับกัน

ตัวอย่าง เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2021 สหรัฐอเมริกาได้เผยตัวเลขตลาดแรงงานที่ดีเกินคาด USDCAD ได้พุ่งขึ้นถึง 700 จุด

4.png

เหตุการณ์ทางสังคม: การจลาจลและความไม่สงบทางสังคม

ผลกระทบ: สร้างแรงกดดันต่อค่าเงินและตลาดหุ้น และเพิ่มความผันผวน

ตัวอย่าง

0.png

หลังจากที่เลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ชนะ โจ ไบเดนก็กำลังจะเข้ารับตำแหน่งในเดือนมกราคม 2021 ความไม่สงบทางสังคมได้เป็นหัวข้อข่าวใหม่ที่ทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐตกอยู่ภายใต้แรงกดดัน

เหตุการณ์ภัยธรรมชาติ

ผลกระทบ: ภัยธรรมชาติอาจทำให้ค่าเงินหรือตลาดหุ้นดิ่งลง ในขณะที่น้ำมันและก๊าซอาจมีมูลค่าสูงขึ้น

ตัวอย่าง: พายุเฮอริเคนไอดาพัดถล่มศูนย์กลางการผลิตน้ำมันและก๊าซที่สำคัญ ซึ่งอาจส่งผลให้ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้น

ราคาน้ำมันและก๊าซถูกขับเคลื่อนโดยอุปสงค์และอุปทาน พายุเฮอริเคนพัดถล่มโรงกลั่น ยิ่งก๊าซและน้ำมันที่ผลิตออกมาขายเหลือน้อยลงเท่าไร ราคาของพลังงานเหล่านี้ก็จะยิ่งสูงขึ้น

"ผมเข้าใจแล้ว แล้วผมจะวางแผนการซื้อขายของผมตามเหตุการณ์เหล่านี้ยังไงดีล่ะ?"

ด้วยปฏิทินไง ดูปฏิทินเพื่อรับข้อมูลเกี่ยวกับเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจในอนาคตและข่าวสำคัญ ๆ และเตรียมพร้อมที่จะดำเนินการเมื่อเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น

ปฏิทินเศรษฐกิจ

คุณสามารถค้นหาปฏิทินได้บนเว็บไซต์ของเราและในแอป FBS Trading Broker

ประการแรกคือมีปฏิทินเศรษฐกิจสำหรับสกุลเงิน เลือกช่วงเวลาที่คุณต้องการรับข้อมูล โดยปกติเทรดเดอร์จะเลือกดูเหตุการณ์สำหรับวันหรือสัปดาห์ปัจจุบัน เมื่อถึงเวลาที่กำหนดไว้ ตัวเลขของตัวบ่งชี้ทางเศรษฐกิจที่ออกมาจริงจะปรากฏในปฏิทิน ยิ่งแตกต่างจากการคาดการณ์มากเท่าไร ก็ยิ่งส่งผลกระทบต่อสกุลเงินที่ตัวบ่งชี้อ้างถึงมากขึ้นเท่านั้น

5.png

สังเกตว่าเหตุการณ์ต่าง ๆ จะถูกจำแนกตามความสำคัญ

การจำแนกเหตุการณ์ต่าง ๆ ในปฏิทิน

  1. สามจุดสีแดง: เหตุการณ์ที่มีความสำคัญต่อตลาดสูงสุด

  2. สองจุดสีเหลือง: เหตุการณ์ที่มีความสำคัญพอประมาณที่อาจไม่ได้ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวใหญ่ ๆ ในตลาด

  3. หนึ่งจุดสีเขียว: เหตุการณ์ที่อาจไม่มีใครสนใจ มีประโยชน์สำหรับกลยุทธ์สำหรับเฉพาะสกุลเงิน

หากคุณซื้อขายหุ้น คุณจะสนใจปฏิทินรายงานผลประกอบการของบริษัทต่าง ๆ หุ้นมีแนวโน้มที่จะขึ้นและลงตามความคาดหวังของกำไรต่อหุ้น (EPS) ที่สูงขึ้น/ต่ำลง นอกจากนี้ ราคาหุ้นยังตอบสนองต่อการประกาศที่ออกมาจริง

6.png

ตัวอย่างเช่น PepsiCo ได้รายงานผลประกอบการที่แข็งแกร่งของไตรมาสที่สอง ผลประกอบการทางการเงินที่แท้จริงดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้มาก ส่งผลให้ราคาหุ้นของ PepsiCo พุ่งพรวดเลยทีเดียว! ดูกราฟข้างล่างสิ

7.png

รายงานผลประกอบการส่วนใหญ่จะออกมาระหว่างช่วงเวลาที่เราเรียกว่าเทศกาลผลประกอบการ ซึ่งคือในช่วงเดือนมกราคม เมษายน กรกฎาคม และตุลาคม ในช่วงเวลาอื่น ๆ เทรดเดอร์จะติดตามข่าวที่เกี่ยวข้องกับแต่ละบริษัท เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ใหม่ที่พวกเขามี ปริมาณยอดขาย การควบรวม และการเข้าซื้อกิจการ

วิธีวิเคราะห์กราฟ

องค์ประกอบของกราฟ

การวิเคราะห์กราฟอาจทำได้ง่ายขึ้นหากคุณทำอย่างมีโครงสร้าง งั้นมาจัดโครงสร้างองค์ประกอบกราฟกันเถอะ หน้าต่างกราฟจะแสดงให้คุณเห็นถึงสิ่งต่อไปนี้

  1. การเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์

  2. ตัวบ่งชี้

8.png

กรอบเวลา คือ สิ่งที่คุณกำหนดให้เป็นช่วงเวลาของการเคลื่อนไหวของราคาแต่ละส่วน ตัวอย่างเช่น M1 จะแสดงถึงการเปลี่ยนแปลงของราคาในแต่ละ 1 นาที (แท่งสีเขียวของแผนภูมิหมายความว่าราคาสูงขึ้น ในขณะที่แท่งสีแดงส่งสัญญาณว่าราคาลดลง) ส่วนใน D1 แต่ละขั้นตอนของราคาจะสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงในหนึ่งวัน

9.png

"กรอบเวลาที่ดีที่สุดคือกรอบไหน?"

ไม่มีกรอบเวลาที่ดีที่สุดหรอก ทุกสิ่งล้วนขึ้นอยู่กับช่วงเวลาที่คุณวางแผนจะปล่อยออเดอร์ของคุณเปิดไว้ ถ้าคุณจะปิดออเดอร์หลังผ่านไปหนึ่งชั่วโมง ก็ให้โฟกัสไปที่ H1 และ H4 ถ้าคุณเล็งจะเปิดทิ้งไว้เป็นเวลาหลายสัปดาห์ ก็ให้ดู W1 และ D1

หมั่นตรวจสอบกรอบเวลาที่ใหญ่กว่าเสมอ! หากคุณซื้อขายใน M30 ให้ตรวจสอบ H1 และ H4 เพราะคุณอาจสังเกตเห็นแนวโน้มและระดับที่สำคัญที่นั่น

แนวโน้ม

เมื่อคุณเปิดกราฟขึ้นมา สิ่งแรกที่คุณต้องดูก็คือแนวโน้ม

แนวโน้ม คือ ทิศทางโดยทั่วไปของราคาของตราสารในตลาด แนวโน้มขาขึ้นคือตอนที่ราคาเคลื่อนไหวไปด้านบน ส่วนแนวโน้มขาลงคือตอนที่ราคาร่วงลงไปด้านล่าง ในช่วงแนวโน้มขาขึ้น ราคาจะสร้างระดับสูงสุดและระดับต่ำสุดที่ยกตัวขึ้นเรื่อย ๆ ส่วนในช่วงแนวโน้มขาลง ราคาจะสร้างระดับต่ำสุดของและระดับสูงสุดที่กดตัวลงเรื่อย ๆ

10.png

หลักการซื้อขายแบบดั้งเดิมคือการซื้อในช่วงขาขึ้น และขายในช่วงขาลง

เส้นแนวโน้ม

เพื่อใช้ศักยภาพสูงสุดของการเทรดตามแนวโน้ม เทรดเดอร์จะลากเส้นแนวโน้มขึ้นมา โดยลากเส้นแนวต้านเชื่อมต่อจุดสูงสุดต่าง ๆ ของราคา ในขณะที่เส้นแนวรับจะทะลุผ่านจุดต่ำสุดต่าง ๆ ของราคา โดยจะต้องมีอย่างน้อยสองจุด (2 สูง / 2 ต่ำ) เพื่อวาดเส้นแนวโน้ม

ตัวอย่างเช่น เราวาดเส้นแนวรับผ่านราคาต่ำสุดในภาพประกอบด้านล่าง

11.png

จุดประสงค์ของเส้นแนวโน้มนี้คือเพื่อสร้างการคาดการณ์สำหรับอนาคต โดยคาดว่าครั้งต่อไปที่ราคามาถึงเส้นนี้ ราคาจะดีดตัวขึ้นจากเส้นแนวโน้มแล้วกลับเป็นขาขึ้น ดูเหมือนว่าสถานการณ์จะเผยออกมาให้เห็นชัดเจนขึ้นแล้วละ

12.png

ตำแหน่งที่มีลูกศรจะแสดงถึงโอกาสที่ดีในการเปิดออเดอร์ Buy

ประเภทของกราฟ

มันกำหนดสิ่งที่คุณเห็นในหน้าต่างกราฟ

  • กราฟเส้น – ทำให้การเคลื่อนไหวของราคาอยู่ในรูปของเส้นโค้งที่ต่อเนื่อง มันคือวิธีการดูกราฟที่ง่ายที่สุด มีประโยชน์ในการทำความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงของราคาในภาพรวม

  • แท่งเทียน – แต่ละขั้นของราคาจะดูเหมือนแท่งเทียนที่มีตัวเทียนและไส้เทียน ซึ่งมันจะสะท้อนถึงการเปิด/ปิด และราคาสูงสุด/ต่ำสุดในแต่ละช่วงเวลา ซึ่งมีประโยชน์สำหรับทั้งเทรดเดอร์มือใหม่และมือเก๋า

  • แท่ง – มันคล้ายกับแท่งเทียนแต่จะเป็น “สไตล์อเมริกัน” โดยมีส่วนประกอบเหมือนกัน ส่วนใหญ่มันจะถูกใช้โดยคนที่คุ้นเคยเฉพาะกับกราฟรูปแบบนี้ (เฉพาะใน MT)

13.png

กราฟแท่งเทียนเป็นที่นิยมมากที่สุดในหมู่เทรดเดอร์ เนื่องจากมันสามารถบอกได้หลายอย่างด้วยการดูขนาดและรูปร่างของแท่งเทียน ตัวอย่างเช่น แท่งเทียนที่เรียกว่า “Shooting Star” (แท่งเทียนที่มี “ตัวเทียน” เล็ก ๆ และมี “ไส้เทียน” ด้านบนยาว ๆ) จะส่งสัญญาณการกลับตัวเป็นขาลง หากมันปรากฏขึ้นหลังจากที่ราคาพุ่งขึ้นมา

14.png

หากต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับแท่งเทียนญี่ปุ่น ลองไปดูในหลักสูตรพิเศษของเราในเซกชัน “ระดับกลาง” ดูสิ

ตัวบ่งชี้ทางเทคนิค

"ผมเคยได้ยินมาว่ามีเครื่องมือที่ช่วยเทรดเดอร์วิเคราะห์กราฟได้ มันมีจริง ๆ เหรอ?"

มีตัวบ่งชี้จำนวนมากอยู่ใน MetaTrader ทีเดียวแหละ แต่ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งจากสองกลุ่มนี้

1. ตัวบ่งชี้แนวโน้ม (Moving Averages, Bollinger Bands และอื่น ๆ)

โดยปกติมันจะปรากฏขึ้นพร้อมกับการเคลื่อนไหวของราคาในหน้าต่างกราฟ และทำหน้าที่แนะนำทิศทางที่เป็นไปได้ที่ราคาอาจจะไป ตัวบ่งชี้ Moving Averages จะเป็นตัวบ่งชี้ที่ถูกใช้งานบ่อยที่สุด

2. ออสซิลเลเตอร์ (MACD, Momentum, Relative Strength Index, Stochastic และอื่น ๆ)

ปกติแล้วมันจะแสดงอยู่ในหน้าต่างแยกต่างหากใต้หน้าต่างกราฟหลัก และสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงภายในของตลาดที่สอดคล้องกับพฤติกรรมราคาในช่วงเวลานั้น ๆ ซึ่งตามปกติเทรดเดอร์จะใช้ตัวบ่งชี้การแกว่งตัวร่วมกับพฤติกรรมราคาและตัวบ่งชี้แนวโน้มเพื่อให้ข้อสรุปในการวิเคราะห์

ตัวบ่งชี้ทางเทคนิคมีประโยชน์เนื่องจากมันจะทำการคำนวณทั้งหมดและแสดงผลให้คุณเห็นเป็นรูปเป็นร่าง ซึ่งช่วยให้คุณประหยัดเวลา หากต้องการใช้ตัวบ่งชี้ให้ประสบความสำเร็จ โปรดอ่านสิ่งที่มันแสดงและวิธีการตีความสัญญาณนั้น ๆ

ในการเพิ่มตัวบ่งชี้ใน MetaTrader ให้เลือก “Insert” ในแผงด้านบนแล้วเลือก “Indicators"

15.png

การตัดสินใจเข้าซื้อขาย

16.png

"EURUSD กำลังจะพุ่งขึ้น งั้นผมควรเข้า Buy ให้เร็วที่สุด ถูกต้องไหมครับ?"

ความผิดพลาดที่พบบ่อยที่สุดของเทรดเดอร์คือการเปิดออเดอร์เร็วเกินไปโดยไม่คิดพิจารณาสถานการณ์ให้รอบคอบ ใช่ มันน่าจะดีกว่าถ้าเน้นเปิด Buy ในช่วงขาขึ้น แต่ราคาก็จะไม่ขึ้นตลอดเวลาในแนวโน้มขาขึ้นหรอกนะ นอกจากนี้ ถ้าหากแนวโน้มขาขึ้นเกิดกลับตัวลงล่ะ? ในการเปิดการซื้อขายใด ๆ คุณต้องค้นหาสัญญาณต่าง ๆ บนกราฟที่ชี้ไปในทิศทางเดียวว่าเป็น Buy หรือ Sell แนวโน้มจะเป็นเพียงหนึ่งในสัญญาณดังกล่าว

การมองภาพให้ใหญ่ขึ้นนั้นมีความสำคัญเสมอ หากคิดจะเปิด Buy ให้ตรวจสอบว่ามีอุปสรรคเหนือราคาหรือไม่ หลังจากซูมกราฟออก เราจะเห็นว่าคู่เงินมาที่บริเวณระดับสูงสุดก่อนหน้าที่ 1.1900 จากนั้นก็กลับตัวลง ด้วยเหตุนี้ แนวคิดในการซื้อขายที่ดีคือการรอให้ราคาสร้างระดับสูงสุดที่ต่ำกว่าหลังจากล้มเหลวในการทะลุเส้นนี้ แล้วค่อยเปิด Sell

17.png

ให้ความสนใจกับระดับแนวต้านและแนวรับ แนวต้านคือระดับที่สูงกว่าราคาปัจจุบันซึ่งการเติบโตมีแนวโน้มที่จะหยุด/กลับตัว แนวต้านสามารถหาได้จากราคาสูงสุด/ต่ำสุดก่อนหน้า เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ ระดับที่สำคัญ เช่น $2,000 สำหรับทองคำและอื่น ๆ โดยสิ่งเดียวกันนี้ก็สามารถทำให้การเคลื่อนไหวของราคาในขาลงมีแนวโน้มที่จะหยุด/กลับตัวได้เช่นกัน เราเรียกมันว่าระดับแนวรับนั่นเอง

ทำให้ถูกวิธี

ดูที่กราฟด้านล่างนะ

18.png

เราได้ระบุเหตุผลในการเปิด Sell ที่ตัวเลขต่าง ๆ ตรงนี้เราหมายถึงอะไร?

ประการแรก EURUSD สร้างจุดสูงที่ต่ำกว่า ซึ่งเป็นสัญญาณว่าแนวโน้มขาขึ้นได้หยุดชั่วคราว ประการที่สอง ราคาทะลุต่ำกว่า SMA-20 (เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ เส้นสีม่วง) เหตุผลเหล่านี้อาจทำให้เทรดเดอร์มีความมั่นใจเพียงพอสำหรับคำสั่ง Sell โปรดสังเกตว่า Take Profit ถูกตั้งค่าไว้ที่ระดับต่ำสุดก่อนหน้า ในขณะที่ Stop Loss อยู่เหนือระดับการพุ่งทะลุ

สรุปบทเรียน

  • เหตุการณ์ต่าง ๆ ทางการเมือง เศรษฐกิจ ธรรมชาติและสังคมต่าง ๆ จะขับเคลื่อนสกุลเงิน พลังงาน โลหะมีค่า หุ้น และดัชนี

  • เหตุการณ์ต่าง ๆ เช่น พายุเฮอริเคนได้เข้าถล่มตลาดแบบไม่ทันตั้งตัว แต่เหตุการณ์อื่น ๆ เช่น การเผยข้อมูลอัตราเงินเฟ้อของประเทศนั้น ๆ จะถูกแสดงเอาไว้ในปฏิทินเศรษฐกิจ คุณสามารถตรวจสอบปฏิทินได้ทุกวันก่อนเริ่มซื้อขาย

  • นโยบายของธนาคารกลางมีผลกระทบมากที่สุดต่อสินทรัพย์ทางการเงิน ดังนั้นจึงควรติดตามนโยบาย การตัดสินใจ และคำแถลงการณ์ของธนาคารกลาง

  • ขณะวิเคราะห์กราฟ ให้ดูที่ตัวราคา (แท่งเทียนญี่ปุ่น) ซึ่งตัวชี้วัดทางเทคนิคสามารถช่วยในการวิเคราะห์ของคุณได้เช่นกัน

คำพูดส่งท้าย

ขอขอบคุณที่เข้าร่วมบทเรียนสำหรับมือใหม่ของเรา ตอนนี้คุณได้เรียนรู้เรื่องพื้นฐานไปแล้วนะ! ขอให้คุณจัดการเงินอย่างฉลาด และวางแผนการซื้อขายของคุณอย่างระมัดระวัง หมั่นฝึกฝนต่อไปนะ การฝึกฝนเท่านั้นที่จะทำให้คุณได้รับประสบการณ์และทักษะในการซื้อขาย มาเข้าร่วมการเทรดสดและการสอนสดของ FBS นักวิเคราะห์และติวเตอร์สอนเทรดของทางบริษัทพร้อมเสมอที่จะตอบคำถามของคุณ โดยคุณสามารถตรวจสอบหลักสูตรอื่น ๆ เพื่อหาข้อมูลการเทรดเชิงลึกเพิ่มเติมได้เลยนะ!

แบ่งปันกับเพื่อน ๆ:

FBS ณ สื่อสังคมออนไลน์

iconhover iconiconhover iconiconhover iconiconhover icon

ติดต่อเรา

iconhover iconiconhover iconiconhover iconiconhover icon
store iconstore icon
ดาวน์โหลดได้ที่
Google Play
store iconstore icon
ดาวน์โหลด MT4 บน
App Store
store iconstore icon
ดาวน์โหลด MT5 บน
App Store

การซื้อขาย

บริษัท

เกี่ยวกับ FBS

ผลกระทบต่อสังคมของเรา

เอกสารทางกฎหมาย

ข่าวเกี่ยวกับบริษัท

สโมสรฟุตบอลเลสเตอร์ซิตี้

ศูนย์ช่วยเหลือ

โปรแกรมพันธมิตร

เว็บไซต์นี้ดำเนินการโดย FBS Markets Inc. หมายเลขจดทะเบียน 000001317 ซึ่ง FBS Markets Inc. ได้รับการจดทะเบียนโดย Financial Services Commission ภายใต้พระราชบัญญัติอุตสาหกรรมหลักทรัพย์ฯ 2021 (Securities Industry Act 2021) ใบอนุญาตเลขที่ 000102/31 ที่อยู่สำนักงาน: The Bentley, #16 Cor A Street & Princess Margaret Drive, Belize City, Belize

FBS Markets Inc. ไม่ได้ให้บริการทางการเงินแก่ผู้อยู่อาศัยในเขตอำนาจศาลบางแห่ง ซึ่งรวมถึงแต่ไม่จำกัดเพียง: สหรัฐอเมริกา, สหภาพยุโรป, สหราชอาณาจักร, อิสราเอล, อินเดีย, สาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน และเมียนมาร์

ธุรกรรมการชำระเงินได้รับการจัดการโดย HDC Technologies Ltd.; Registration No. HE 370778; Legal address: Arch. Makariou III & Vyronos, P. Lordos Center, Block B, Office 203, Limassol, Cyprus ที่อยู่เพิ่มเติม: Office 267, Irene Court, Corner Rigenas and 28th October street, Agia Triada, 3035, Limassol, Cyprus

เบอร์ติดต่อ: +357 22 010970 เบอร์ติดต่อเพิ่มเติม: +501 611 0594

สำหรับความร่วมมือ กรุณาติดต่อเราผ่าน [email protected]

คำเตือนเรื่องความเสี่ยง: ก่อนที่คุณจะเริ่มทำการซื้อขาย คุณควรเข้าใจความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับตลาดสกุลเงินและการซื้อขายโดยใช้มาร์จิ้นอย่างถ่องแท้ และคุณควรตระหนักถึงระดับประสบการณ์ของตนเอง

การคัดลอก การทำสำเนา การเผยแพร่ รวมถึงแหล่งข้อมูลอินเทอร์เน็ตของเนื้อหาใดๆ จากเว็บไซต์นี้สามารถดำเนินการได้เฉพาะเมื่อได้รับการอนุญาตที่เป็นลายลักษณ์อักษรเท่านั้น

ข้อมูลบนเว็บไซต์นี้ไม่ถือเป็นคำแนะนำในการลงทุน การชี้แนะ หรือการชักชวนให้มีส่วนร่วมในกิจกรรมการลงทุนใด ๆ ทั้งสิ้น